เขียนและเรียบเรียง : เจนวุฒิ เขียวเจริญ
เดือนมิถุนายนเป็นเดือนพิเศษของบรรดาผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ “Pride Month” ซึ่งตลอดทั้งเดือนนี้เราจะเห็นธงสีรุ้งโบกสะบัดอยู่ทั่วไปในหลายสถานที่ รวมถึงบรรดาแบรนด์ที่มีการเปลี่ยนโลโก้เป็นสีรุ้งให้เข้ากับเทศกาล Pride Month แต่สีรุ้งของ Pride Month มีที่มาอย่างไร ทำไมต้องใช้ธงสีรุ้งเป็นสัญลักษณ์ และการเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้ของเหล่า LGBTQIA+ ในอดีตเป็นอย่างไร
ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1960 ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลานั้นถือได้ว่าเป็นช่วงที่ประชาธิปไตยเบ่งบานที่สุดช่วงหนึ่ง เนื่องจากประชาชนมีความตื่นรู้ทางการเมืองจึงทำให้เกิดการเรียกร้องถึงสิทธิต่าง ๆ รวมถึงการแก้ปัญหาที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง และหนึ่งในประเด็นการเรียกร้องเหล่านั้นก็คือ “ความเท่าเทียมทางเพศ” เดิมในประเทศสหรัฐอเมริกากลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศจะไม่ได้รับการยอมรับในสังคม
บางคนถึงกับถูกขับไล่ออกจากครอบครัว แน่นอนว่าคนเหล่านี้ต้องหาสถานที่ที่พวกเขาคิดว่ามีความปลอดภัยเพื่อรวมตัวกัน และสถานที่นั้นก็คือ บาร์เกย์ แต่บาร์เกย์ในขณะนั้นยังเป็นสถานที่ผิดกฎหมาย นั่นก็หมายความว่าต้องมีการจ่ายส่วยให้แก่ทั้งบรรดามาเฟียและตำรวจ
จนในคืนวันที่ 27 มิถุนายน 1969 ที่บาร์แห่งหนึ่งชื่อ Stonewall Inn ที่ตั้งอยู่บนถนน Christopher ตำรวจได้บุกเข้าไปในบาร์เกย์แล้วจับคนในนั้น เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจต่อบรรดาผู้คนในละแวกนั้นรวมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วย จึงได้มีการรวมตัวกันเพื่อเดินขบวนเรียกร้องสิทธิของคนกลุ่มดังกล่าวและต่อต้านการเลือกปฏิบัติ การกีดกันกลุ่มคนเพศหลากหลายในสังคม
เหตุการณ์วันนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘Christopher Street Day (CSD)’ การเดินขบวนในครั้งนั้นเป็นเหมือนไม้ขีดก้านเดียวที่สามารถจุดไฟแห่งการเรียกร้องให้ลุกโชติช่วงไปทั่วทั้งโลก ซึ่งต่อมาก็เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศครั้งใหญ่ ๆ อีกหลายแห่งทั่วโลก
ทำไมต้องใช้ธงสีรุ้งเป็นสัญลักษณ์
ก่อนที่จะกลายมาเป็นธงสีรุ้ง กลุ่ม LGBTQIA+ เคยใช้สัญลักษณ์อย่างอื่นมาก่อน ย้อนกลับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงที่ฮิตเลอร์มีการกวาดล้างชาวยิว ก่อนจะนำตัวชาวยิวไปฆ่าเขาจะมีการติดดาวสีเหลือง(Star of David) ไว้ที่เสื้อของชาวยิวเหล่านั้น และแน่นอนว่านาซีนั้นไม่ได้กวาดล้างเฉพาะชาวยิวเท่านั้นแต่ยังกวาดล้างคนทุกกลุ่มที่เห็นว่าไม่มีประโยชน์ต่อพวกนาซี เช่น กลุ่มผู้พิการ และแน่นอนที่สุดหนึ่งในนั้นคือกลุ่มที่พวกเขาเรียกว่า ‘ผู้เบี่ยงเบนทางเพศ’ ซึ่งนาซีจะทำสัญลักษณ์เป็นรูป สามเหลี่ยมสีชมพู(Die Rosa-winkel) ติดที่เสื้อผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งคนเหล่านี้ถูกจัดให้อยู่กลุ่มที่ต่ำกว่าชาวยิวซะอีก
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเลือกนำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีชมพูมาใช้ เพื่อบอกเล่าให้รู้ถึงความเจ็บช้ำจากการถูกกระทำในอดีต และเป็นการย้ำเตือนเพื่อป้องกันไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
จนกระทั่งในปี 1978 ที่แคลิฟอร์เนีย Harvey Milk นักการเมืองผู้ออกประกาศตัวว่าเป็นเกย์ได้จัดกิจกรรมเดินขบวน Milk ได้ว่าจ้าง Gilbert Baker ให้ออกแบบธงเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเดินขบวน ผู้ออกแบบจึงใช้ธงชาติสหรัฐอเมริกามาเป็นต้นแบบ
โดยเปลี่ยนจากแถบสีธงชาติให้เป็นสีรุ้ง 8 แถบเย็บเข้าด้วยกัน ซึ่งแต่ละสีก็สื่อความหมายแตกต่างกันไปดังนี้
- สีชมพูสื่อถึงเรื่องเพศ
- สีแดงสื่อถึงชีวิต
- สีส้มสื่อถึงการเยียวยารักษา
- สีเหลืองสื่อถึงแสงของดวงอาทิตย์
- สีเขียวสื่อถึงธรรมชาติ
- สีฟ้าสื่อถึงเวทมนต์
- สีน้ำเงินสื่อถึงความผสมผสานกลมกลืน
- สีม่วงสื่อถึงจิตวิญญาณอันแน่วแน่
แต่ต่อมาได้มีการตัดสีชมพูและสีฟ้าออกเนื่องจากความยากในการผลิต
แต่อย่างไรก็ตามธงสีรุ้งก็ยังมีความหลากหลายแตกต่างไปตามบริบทและแนวคิดของแต่ละพื้นที่ แต่ที่เหมือนกันแน่นอนก็คือสีเหล่านี้แสดงถึงอัตลักษณ์และความเป็นตัวตนของคนกลุ่มนี้อย่างชัดเจน
ที่มา
https://www.thansettakij.com/news/general-news/566952…
https://www.thaipbs.or.th/news/content/328403
